วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความงามอันเรียบง่าย โดย นาโก๊ะลี

           ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสาง แสงที่สาดส่องส่งภาพสรรพสิ่งเป็นไปดังเช่นที่เห็นและเป็นอยู่ กาลเวลาที่เคลื่อนไปมิได้เฉื่อยช้าหรือเร่งเร็วเกินกว่าปรกติ จังหวะแห่งแสงและสีสันขณะเริ่มวันก็อาจมิมีใดแตกต่างจากวันเวลาเก่าก่อน
          เช้า สาย บ่าย ค่ำเป็นเพียงขบวนขับเคลื่อนชีวิต เป็นเช่นนี้ เช่นนั้น เช่นไหนสุดแท้แต่วิถีใคร แตกต่างหรือคล้ายว่ากันไปสุดแท้ ดูเหมือนเป้าหมายเป็นปลายทางของผู้คน ใครต่อใครมากมายที่กล่อมหัวใจคนให้คล้อยตามเป้าหมาย...เป้าหมายนั้นคืออะไร มีใครบ้างที่รู้อยู่แล้ว หรือเป้าหมายมีสิ่งใดที่น่าค้นหา หรือเป็นพื้นที่ให้ก่อเกิดเป็นสภาวะที่ดีงามพร้อมสรรพ ได้เสพสุขสุนทรียภาพอันเป็นนิรันดร์ หรือที่สุดแล้วเป้าหมายก็เป็นเพียงความฝันที่เคลื่อนผ่านคืนวัน ขณะการรับรู้หล่อหลอมจากผู้คนรอบข้าง ฝันของเจ้า ฝันของเรา หรือฝันของใคร หรือนั่นมิใช่ภาพที่ปรากฏบนความคิด ความที่ครุ่นคำนึงก่อผลเป็นความปรารถนาอันทรงค่าในทรงจำ ตอกย้ำกระทำการอันเชื่อว่าจะเกิดก่อเป็นสิ่งนี้ สิ่งใด ที่ใฝ่ถึง นั่นใยมิใช่การเดินทางแห่งจิตวิญญาณอันเบิกบานบนวิถีที่พาดผ่านระหว่างดิน ฟ้า นรก สวรรค์
           สายลมฤดูแล้งหอบเอาเม็ดดินล่องลอยขึ้นจากพื้น  เคลื่อนเข้าสู่อากาศ เม็ดดินหลายเม็ด เมื่อวางอยู่จึงเป็นพื้นดิน         แต่เม็ดดินที่พลัดถิ่น พลันได้รับนามเรียกขานใหม่ว่า ฝุ่น   แต่นั่นก็จะยืนยงคงอยู่ตามสภาพเดียวชั่วนิรันดร์กระนั้นหรือ ย่อมมิใช่ เพราะเมื่อใดที่ลมแล้งผ่านพัดพ้นไปแล้ว ไม่ช้าไม่นานเม็ดดินก็หวนคืนสู่พื้นรวมตัวกันใหม่กลายกลับมาเป็นแผ่นดินได้ดังเดิม ในลมฝน ลมหนาวบางคราวก็คล้ายได้นำพาเม็ดดินเม็ดทราย หรือบางคราวใบหญ้าใบไม้ก็หลุดลอยไปดั่งเดียวกัน กระไรเลย   ความฝันก็มิใช่เป็นดั่งเดียวกันหรอกหรือ เมื่อสายลมพัดผ่านสรรพสิงก็เคลื่อนที่ วิถีมนุษย์ก็เคลื่อนไหว วันเวลาที่ผ่านผันยังมีฝันใดที่คงเดิม สุข ทุกข์ เรื่องเล่า รุ่งเรือง ร่วงโรย เกิด ตายต่างผสานสอดคล้องในสภาพสภาวะที่เป็นไป ธรรมดา ธรรมดา คล้ายมีสิ่งหนึ่งให้ยึดมั่น แต่ก็คล้ายไม่มีใดไม่มี
          สรรพสิ่งดำรงอยู่ด้วยความงามอันเป็นปรกติอยู่แล้วโดยมิต้องแต่งแต้มเติมสิ่งใด ยิ่งแล้ว หากมีสิ่งแปลกปลอมปน นั่นไยมิใช่การทำลายความงามตามธรรมชาติ จะอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ให้ครุ่นครวญ การดำรงอยู่ งาม.. ไม่งามหาใช่ภาระแห่งเราที่ต้องเข้าไปวิ่งวุ่นจัดการ นั่นคือ สาส์นที่ส่งมาจากสรวงสวรรค์ ก่อเกิดมรรคาสามัญที่สุด และยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าการสรรค์สร้างใดใดของมนุษย์
         ด้วยการสดับอย่างจริงแท้ และไร้การสงสัยใคร่อยาก เฝ้ามองจากอีกฟากของสิ่งที่แสวงหา ณ อาณาจักร และเวลาที่เหมาะควร ค่อยๆ หลอมตัวตนเข้าไปเป็นเสี้ยวส่วนอันสถิตย์อยู่นั้น ไม่จำเป็นต้องสร้างสรรค์สิ่งใดใดมาเติมแต้มลงไปให้รกเรื้อรุงรัง ณ ที่นั่น อาณาจักรอีกฟากฝั่งของฟ้า ค่ำคืนของดวงดารา แสงเจิดจ้าแห่งวัน แม้กระทั่งรอยต่อของวันและคืน ภาพทั้งมวลเคลื่อนวนเปลี่ยนแปลง มิใช่เพียงแสงที่แปรค่า ลึกแล้วล้วนทุกปรารถนาก็เคลื่อนไหวมีชีวิต
         ช่างกระไรเลย ว่ากันว่า ค่าแห่งความในบทกวีที่ชี้ชวนให้เชยชมโลก ก็หาใช่อะไรอื่น ก็เพียงการบอกเล่าของวันและคืน ฤดูกาล คำทุกคำแผ่ซ่านซาบซึมสู่หัวใจอันว่างเปล่า เปลี่ยวเหงาคละเคล้าความเบิกบานในทุกขณะ นั่นเองจึงเป็นภาวะ วาระที่ได้ก้าวเข้าไปสู่ความงาม คุณค่าที่ถูกตีค่าเป็นความฟุ่มเฟือย ไร้ประโยชน์ผลที่จะส่งเสริมความมั่งคั่งมั่นคงกับอัตตะภาวะ หรือการเสพสุขอันกักขฬะแห่งอวิชชาในหัวใจมนุษย์ ที่สุดแล้วถ้อยคำอาจมิอาจเอ่ย ยิ่งแล้วความไหนเลยจะคู่ควร
        ดอกไม้บนภูเขางดงามมากมายนัก สีสันก็สลับทับซ้อน ปะปนแทรกแซมในสุมทุมพุ่มไม้ใบบัง หรือริมลำธารใส ละอองน้ำกระเซ็นใส่พรายพร่าง กลีบดอกบอบบางนั้นสั่นไหวไปตามจังหวะ ดอกไม้งามนั้นงามแท้ แท้จริงดำรงอยู่บนรอยต่อระหว่างความตายและการกำเนิด ก่อนดอกไม้จะร่วงลง นั่นเป็นขณะที่งดงามที่สุด เติบโตเต็มดอก สดใสกว่าการแต้มสีของจิตรกร งดงามกว่าถ้อยพรรณนาของกวี และไม่กี่เพลาหลังจากนี้ กลีบดอกนั้นจะเหี่ยว แห้ง โรย ร่วง กลับสู่ธาตุเดิมแท้คือพื้นดิน กระนั้นมันก็ยังเป็นภาพอันวิจิตรบรรจง แต่งเติมเสริมส่งขับความมหัศจรรย์ วิเศษรังสรรค์เกินกว่าการสร้างสรรค์ของมนุษย์ ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เพียงเป็นไปง่ายดายนัก ... ช่างง่ายดายนัก.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น